วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

เกร็ดความรู้ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ไบเบิลที่เราควรทราบ

โดย สุเทพ ฉวีวรรณ
    พระคัมภีร์ไบเบิลแบ่งออกเป็นสองส่วน คือพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่
    พระคัมภีร์เดิมของโปรเตสแตนต์มี 39 เล่ม ส่วนของคาทอลิกมี 46 เล่ม โดย 39 เล่มแรกเหมือนกันกับของโปรเตสแตนต์  ที่มีเพิ่มเข้าไปอีกเจ็ดเล่มคือพระธรรม
โทบิต Tobit (Tobias) ยูดิษ Judith เอสเธอร์ Ester (เฉพาะบท ก-ฉ) 1มัคคาบี 1 Maccabees  2 เมคคาบี 2 Maccabees ปรีชาญาณ Wisdom และบุตรสิรา Ben-Sira (Ecclesiasticus)
    ทั้งโปรเตสแตนต์และคาทอลิกมีพระคัมภีร์ใหม่ 27 เล่มเท่ากัน
    ข้อพระคัมภีร์ยาวที่สุดในคัมภีร์เดิมอยู่ที่หนังสืออีสเตอร์ 8:9 ส่วนที่สั้นสุดอยู่ในพระคัมภีร์เดิม คือโยบ 3:2    ข้อพระคัมภีร์ที่สั้นสุดในพระคัมภีร์ใหม่อยู่ที่ ยอห์น 11:35   หนังสือบทเพลงสรรเสริญบทที่ 119 เป็นบทยาวที่สุดในพระคัมภีร์ทั้งหมด
    ทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่มีข้อพระคัมภีร์รวมกัน 31,103 ข้อ โดยอยู่ใน
พระคัมภีร์เดิม 23,145 ข้อ ในพระคัมภีร์ใหม่ 7,958 ข้อ
    นอกจากนี้ยังมีอีก 137 ข้อความที่ไม่นับเป็นข้อพระคำ เพราะเหตุผลบางประการ ต้องยกออกไป เช่นมัทธิวบทที่ 18 ข้อ 11 เป็นต้น  ในพระคัมภีร์บทนี้เราจะไม่มีข้อ 11 ปรากฏอยู่ มีข้อที่ 10 แล้วข้ามเลยไปข้อที่ 12 ดังที่ปรากฏให้เห็น
    พระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่รวมกันแล้วมี 1,189 บท แยกเป็นพระคัมภีร์เดิม 929 บท พระคัมภีร์ใหม่ 260 บท
    วิธีเรียนพระคัมภีร์ให้เข้าใจอย่างรวดเร็วนั้นไม่ยาก แต่ความเชื่อศรัทธาเป็นเรื่องจิตใจแต่ละคนจะเชื่อแทนกันไม่ได้  คนมาโบสถ์ไม่กี่สัปดาห์ ฟังคำเทศนาไม่กี่ครั้งก็กลับใจเป็นคริสเตียน มีความเชื่ออย่างสุดใจ  แต่บางคนแข็งกระด้างเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างทั้ง ๆ มีความรู้แตกฉานในคัมภีร์
    เนื่องจากพระคัมภีร์มีเรื่องราวมากมายทั้งแง่ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ชื่อบุคคล ชื่อสถานที่ต่าง ๆ ยากแก่การจดจำ  บ่อยครั้งที่ทำให้ผู้ศึกษา เกิดความเบื่อหน่ายไม่อยากศึกษาต่อรู้เท่าไรก็เท่านั้น   ที่เป็นเช่นนี้อาจขาดการอธิษฐาน ขอการทรงนำ
    การอ่านพระคัมภีร์เพื่อให้เข้าใจกระจ่างควรดูแผนที่ซึ่งพิมพ์ไว้ด้านหน้าหรือด้านหลังของพระคัมภีร์ประกอบด้วย จะช่วยให้เข้าใจภูมิศาสตร์ในสมัยพระคัมภีร์ดียิ่งขึ้น
    ลองหลับตานึกภาพดูว่าแม่น้ำจอร์แดนที่พระเยซูรับบัพติสมาจากยอห์นอยู่ที่ไหน  กรุงเยรูซาเล็ม เบธเลเฮ็ม สะมาเรียและกาลิลี เมืองไหนอยู่เหนืออยู่ใต้   นอกจากนี้ยังต้องใช้ความสังเกตข้อแตกต่างในพระคัมภีร์ว่ามีอะไรบ้างเช่นหนังสือมาลาคีเล่มสุดท้ายในพระคัมภีร์เดิม ข้อความจบลงด้วยคำแช่งสาป  ส่วนหนังสือวิวรณ์ที่เป็นฉบับสุดท้ายพระคัมภีร์ใหม่จบข้อสุดท้ายด้วยคำอวยพร
    ในจำนวนพระคัมภีร์ทั้งหมดพระเยซูไม่ได้เขียนแม้แต่เล่มเดียว แต่เขียนขึ้นมา
หลังจากพระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ไปแล้ว
    พระคัมภีร์ใหม่ส่วนมาก เราไม่ทราบที่มาที่ไปว่าใครเขียน เฉพาะอย่างยิ่งพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มใครเขียนขึ้นมาเราไม่มีหลักฐานชี้บอก นอกจากจะคาดเดากันเอง แต่คริสตชนเชื่อว่าข้อพระคัมภีร์มาจากพระเจ้า
    สำหรับจดหมายต่าง ๆอันเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ใหม่ เราทราบว่ามี 13 ฉบับ
ที่เขียนโดยท่านเปาโล เพราะท่านระบุไว้ว่าเป็นผู้เขียน
    บางท่านอาจตั้งคำถามว่าเราจะยึดเอาข้อเขียนของเปาโลว่าเป็นคำสอนของพระเจ้าได้หรือไม่    พระเจ้าดลใจให้เขียนจริงหรือเปล่าอันนี้เป็นเรื่องถกเถียงกันในบางสังคม
    มีข้อหนึ่งซึ่งผู้อ่านจะสังเกตเห็นว่าท่านเปาโลเขียนขึ้นเอง (1 โกรินธ์ 7:12)
แต่มีข้อโต้แย้งจาก (2 ติโมธี 3:16) ซึ่งเขียนโดยเปาโลท่านเดียวกันที่บอกว่า
ทุกถ้อยอักษรเป็นการดลใจจากพระเจ้า
    อาจมีบางคนข้องใจว่าทำไมในพระคัมภีร์ แทบทุกหน้าจึงมีบันทึกหมายเหตุไว้ด้วย เช่นคำว่าสำเนาต้นฉบับบางฉบับกล่าวอย่างโน้นอย่างนี้ และในมัทธิวบทที่ 18 ทำไมจึงไม่ใส่ข้อ 11 ไว้ด้วย
    อยากจะให้ท่าน เปิดดูพระคัมภีร์อีกสักครั้งว่า พระคัมภีร์ที่ท่านอ่านประจำมีข้อพระคำเหล่านี้อยู่หรือไม่หรือว่าถูกยกทิ้งไปเสียแล้ว ข้อต่าง ๆ ที่กล่าวถึงคือมัทธิว 17:21, มัทธิว 23:14, มาระโก 7:16 มาระโก 9:44, 46, มาระโก 11:26, มาระโก 15:28 ลูกา 17:36, ลูกา 23:17, กิจการ 8:37, กิจการ 28:29 และโรม 16:24
    ครับ การอ่านพระคัมภีร์ต้องใช้ความสังเกตด้วย
   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น